สุขา : ตอนที่ 2
การจัดสร้างส้วมสาธารณะ
กรมสุขาภิบาลจัดสร้างส้วม สาธารณะที่กั้นแบ่งเป็นห้อง ๆ มีห้องประมาณ 5-6 ห้อง เป็นห้องแถวไม้ยาว มักตั้งอยู่บนถนนสายสำคัญซึ่งเป็นย่านการค้าที่มีผู้คนอยู่คับคั่ง เช่น ถนนเจริญกรุง ถนนบำรุงเมือง ถนนเฟื่องนคร และตามชุมชนวัด ทั้งบริเวณรอบวัด เช่น บริเวณหน้าวัดบรมธาตุ ข้างวัดกำโลยี่ ตรอกข้างวัดมหรรณ์ หรืออยู่ในวัด เช่น วัดบวรนิเวศ วัดราชบูรณะ นอกจากนี้ยังมีการจัดส้วมสาธารณะจำนวนมากใกล้กับบริเวณวังของเจ้านายและตาม สถานที่ราชการ อย่างเช่น โรงพัก โรงพยาบาล เป็นต้น
ลักษณะส้วมสาธารณะ ในยุคแรกเป็นส้วมถังเท มีอาคารปลูกสร้างครอบไว้ ภายในมีฐานส้วมทำจากไม้ เจาะรูสำหรับนั่งขับถ่าย ข้างใต้มีถังสำหรับรองรับอุจจาระ ซึ่งจะมีบริษัทที่ได้รับสัมปทานจากรัฐอย่าง "บริษัทสอาด" หรือ "บริษัทออนเหวง" เป็นผู้ทำหน้าที่จัดการเก็บและบรรทุกถังบรรจุอุจจาระและเปลี่ยนถ่ายถังใหม่ ทุกวัน รัฐมีนโยบายจะเปลี่ยนพฤติกรรมการขับถ่ายของประชาชนโดยการสร้างเวจหรือส้วม สาธารณะในรูปแบบของส้วมแบบถังเทในเขตเมืองและในรูปแบบของส้วมหลุมในเขตท้อง ถิ่น และออกกฎหมายบังคับและมีบทบัญญัติลงโทษผู้ฝ่าฝืน ทำให้คนเมืองหลวงรู้วิธีการใช้ส้วมและเห็นความสำคัญ จนเริ่มมีผู้สร้างส้วมไว้ในบ้านตนเองภายในช่วงระยะประมาณ 10 ปี หลังการออกกฎหมาย
ในช่วงปี พ.ศ. 2460-2471 มูลนิธิร็อกกี้เฟลเลอร์จากสหรัฐอเมริกา เข้ามาช่วยเหลือทางการแพทย์และสาธารณสุข โดยส่งเสริมการจัดสร้างส้วมในจังหวัดต่าง ๆ เพื่อป้องกันโรคพยาธิปากขอ ซึ่งต่อมาคนไทยก็ได้มีการประดิษฐ์คิดค้นส้วมรูปแบบต่าง ๆ ขึ้นเองที่เหมาะสมกับท้องถิ่นของไทย เช่น "ส้วมหลุมบุญสะอาด" ที่มีกลไกป้องกันปัญหาการลืมปิดฝาหลุมถ่าย และส้วมคอห่านทำงานร่วมกับระบบบ่อเกรอะบ่อซึม แก้ปัญหาเรื่องแมลงวันและ กลิ่นเหม็นย้อนกลับมาของส้วมหลุมแบบเก่า ส้วมประเภทนี้ยังประหยัดน้ำ ราคาถูก และสามารถสร้างได้สะดวก ต่อมาส้วมคอห่านก็แพร่หลายแทนที่ส้วมหลุมในที่สุด และยังคงได้รับความนิยมจนปัจจุบันนี้
สมัยจอมพล ป. พิบูลสงครามเป็นนายกรัฐมนตรี ภายหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 รัฐบาลมีนโยบายส่งเสริมนโยบายด้านสุขอนามัย ในด้านการขับถ่ายและชำระร่างกายของประชาชนในส่วนภูมิภาคเพิ่มมากขึ้น ได้จัดทำหนังสือแบบเรียนของเด็ก เพื่อปลูกฝังด้านสุขอนามัย และทำให้ประชาชนเห็นความสำคัญและมีทัศนคติที่ดีต่อส้วม
ส้วมในบ้าน
ใน ระยะแรกที่ส้วมชักโครกเข้ามาในประเทศไทย คือช่วงระหว่างปี พ.ศ. 2460-2490 ส้วมชักโครกคงมีเฉพาะตามวังและบ้านเรือนของผู้มีฐานะดีที่จบการศึกษาหรือเคย ใช้ชีวิตในต่างประเทศ ไม่ค่อยแพร่หลายสู่คนทั่วไป ต่อมาเริ่มมีผู้ใช้ส้วมชักโครกมากขึ้นในช่วงที่มีการก่อสร้างบ้านแบบสมัย ใหม่หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 กระทั่งต้นทศวรรษ 2500 โถส้วมชนิดนี้ก็ได้รับความนิยมและมีผู้ใช้เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ
ประเทศ ไทยก็มีการส่งเสริมให้ประชาชนสร้างส้วมราดน้ำหรือส้วมคอห่านใช้ใน บ้านอย่างจริงจังตั้งแต่ปี 2485 เป็นต้นมา และรัฐบาลโดยความร่วมมือจากองค์การยูซ่อมของรัฐบาลสหรัฐอเมริกาในปี 2503โดยเริ่มโครงการพัฒนาการอนามัยท้องถิ่น มีกิจกรรมสำคัญคือการสร้างส้วมและรณรงค์ให้ประชาชนถ่ายอุจจาระในส้วม จนถึงแผนพัฒนาสาธารณสุขฉบับที่ 6 (พ.ศ. 2530-2534) ในปี 2532 กระทรวงสาธารณสุขดำเนินงานให้ปประชาชนในประเทศไทยมีส้วมถูกหลักสุขาภิบาลใน ทุกครัวเรือน ในปีนี้ครอบคลุมจาก ร้อยละ 75 เป็นร้อยละ 90 และจากผลสำรวจในปี พ.ศ. 2542 มีส้วมถูกหลักสุขาภิบาลครอบคลุมครัวเรือนร้อยละ 98.1
ในแผนพัฒนา สาธารณสุขฉบับที่ 7 (พ.ศ. 2534-2539) กรมอนามัยได้ส่งเสริมให้ประชาชนเปลี่ยนรูปแบบจากส้วมซึมมาใช้เป็นระบบส้วม ถังเกรอะ เหตุเพราะทางด้านมาตรฐานและสุขอนามัย กล่าวคือระบบส้วมซึม ถังส้วมสร้างด้วยอิฐ หรือวงของซีเมนต์ (วงของส้วม) เป็นถังส้วมที่น้ำ สามารถซึม เข้า-ออกได้ ถังจะเก็บกักสิ่งปฏิกูลและฝังลงในดิน โดยดินรอบ ๆ ถัง ทำหน้าที่กรองน้ำไหลออกจากหลุมส้วม และสารอินทรีย์ที่ไหลออกมากับของเหลวนี้จะถูกย่อยสลายโดยจุลินทรีย์ในดินไป ตามธรรมชาติ การไหลซึมออกได้ของน้ำนี้ จึงเรียกส้วมชนิดนี้ว่า "ส้วมซึม" ส่วนระบบส้วมถังเกรอะ ประกอบด้วย ถังเก็บกักของเสีย ฝังอยู่ในดิน ทำหน้าที่แยกของแข็งจากของเหลว เกิดการย่อยสลายอินทรีย์สาร วัสดุของถังเกรอะจะทำจากวัสดุที่ป้องกันน้ำซึมเข้าหรือออกจากถังได้ เพื่อเก็บกักน้ำเสียไว้ในถัง และจะเกิดการตกตะกอน รวมทั้งขบวนการย่อยสลายต่าง ๆ ในถัง และปล่อยของเหลวส่วนที่เป็นน้ำใสไปตามท่อสำหรับระบายออกจากถังเกรอะโดยเฉพาะ
การ สำรวจการใช้ส้วมในครัวเรือนในปี พ.ศ. 2553 พบว่าส้วมนั่งยองร้อยละ 86.0 มีการใช้ส้วมนั่งราบหรือส้วมห้อยขาร้อยละ 10.1 และมีบ้านที่ใช้ทั้งส้วมนั่งยองและส้วมห้อยขาร้อยละ 3.1 ของครัวเรือนทั้งหมด ประชากรไทยส่วนใหญ่นิยมใช้ส้วมนั่งยอง ซึ่งอาจเป็นสาเหตุสำคัญอาจก่อให้เกิดอาการข้อเข่าเสื่อมอายุสูงขึ้นได้ กระทรวงสาธารณสุขได้มีการเสนอแผนแม่บทการพัฒนาส้วมไทย ระยะที่ 3 ต่อคณะรัฐมนตรี (ครม.) เพื่อพิจารณาเห็นชอบในหลักการให้ทุกหน่วยงานเปลี่ยนส้วมนั่งยองเป็นส้วมโถ ชักโครกแทน ต่อมาในปี 2556 คณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ที่เสนอขอความเห็นชอบแผนแม่บทพัฒนาส้วมสาธารณะไทยระยะที่ 3 (พ.ศ. 2556 – 2559) โดยตั้งเป้าทุกครัวเรือนหรือประมาณร้อยละ 90 ต้องเปลี่ยนจาก "ส้วมนั่งยอง" มาเป็น "ส้วมนั่งราบ" หรือส้วมชักโครก ภายในปี 2559
อ่านต่อ ตอนที่ 3
กรมสุขาภิบาลจัดสร้างส้วม สาธารณะที่กั้นแบ่งเป็นห้อง ๆ มีห้องประมาณ 5-6 ห้อง เป็นห้องแถวไม้ยาว มักตั้งอยู่บนถนนสายสำคัญซึ่งเป็นย่านการค้าที่มีผู้คนอยู่คับคั่ง เช่น ถนนเจริญกรุง ถนนบำรุงเมือง ถนนเฟื่องนคร และตามชุมชนวัด ทั้งบริเวณรอบวัด เช่น บริเวณหน้าวัดบรมธาตุ ข้างวัดกำโลยี่ ตรอกข้างวัดมหรรณ์ หรืออยู่ในวัด เช่น วัดบวรนิเวศ วัดราชบูรณะ นอกจากนี้ยังมีการจัดส้วมสาธารณะจำนวนมากใกล้กับบริเวณวังของเจ้านายและตาม สถานที่ราชการ อย่างเช่น โรงพัก โรงพยาบาล เป็นต้น
ลักษณะส้วมสาธารณะ ในยุคแรกเป็นส้วมถังเท มีอาคารปลูกสร้างครอบไว้ ภายในมีฐานส้วมทำจากไม้ เจาะรูสำหรับนั่งขับถ่าย ข้างใต้มีถังสำหรับรองรับอุจจาระ ซึ่งจะมีบริษัทที่ได้รับสัมปทานจากรัฐอย่าง "บริษัทสอาด" หรือ "บริษัทออนเหวง" เป็นผู้ทำหน้าที่จัดการเก็บและบรรทุกถังบรรจุอุจจาระและเปลี่ยนถ่ายถังใหม่ ทุกวัน รัฐมีนโยบายจะเปลี่ยนพฤติกรรมการขับถ่ายของประชาชนโดยการสร้างเวจหรือส้วม สาธารณะในรูปแบบของส้วมแบบถังเทในเขตเมืองและในรูปแบบของส้วมหลุมในเขตท้อง ถิ่น และออกกฎหมายบังคับและมีบทบัญญัติลงโทษผู้ฝ่าฝืน ทำให้คนเมืองหลวงรู้วิธีการใช้ส้วมและเห็นความสำคัญ จนเริ่มมีผู้สร้างส้วมไว้ในบ้านตนเองภายในช่วงระยะประมาณ 10 ปี หลังการออกกฎหมาย
ในช่วงปี พ.ศ. 2460-2471 มูลนิธิร็อกกี้เฟลเลอร์จากสหรัฐอเมริกา เข้ามาช่วยเหลือทางการแพทย์และสาธารณสุข โดยส่งเสริมการจัดสร้างส้วมในจังหวัดต่าง ๆ เพื่อป้องกันโรคพยาธิปากขอ ซึ่งต่อมาคนไทยก็ได้มีการประดิษฐ์คิดค้นส้วมรูปแบบต่าง ๆ ขึ้นเองที่เหมาะสมกับท้องถิ่นของไทย เช่น "ส้วมหลุมบุญสะอาด" ที่มีกลไกป้องกันปัญหาการลืมปิดฝาหลุมถ่าย และส้วมคอห่านทำงานร่วมกับระบบบ่อเกรอะบ่อซึม แก้ปัญหาเรื่องแมลงวันและ กลิ่นเหม็นย้อนกลับมาของส้วมหลุมแบบเก่า ส้วมประเภทนี้ยังประหยัดน้ำ ราคาถูก และสามารถสร้างได้สะดวก ต่อมาส้วมคอห่านก็แพร่หลายแทนที่ส้วมหลุมในที่สุด และยังคงได้รับความนิยมจนปัจจุบันนี้
สมัยจอมพล ป. พิบูลสงครามเป็นนายกรัฐมนตรี ภายหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 รัฐบาลมีนโยบายส่งเสริมนโยบายด้านสุขอนามัย ในด้านการขับถ่ายและชำระร่างกายของประชาชนในส่วนภูมิภาคเพิ่มมากขึ้น ได้จัดทำหนังสือแบบเรียนของเด็ก เพื่อปลูกฝังด้านสุขอนามัย และทำให้ประชาชนเห็นความสำคัญและมีทัศนคติที่ดีต่อส้วม
ส้วมในบ้าน
ใน ระยะแรกที่ส้วมชักโครกเข้ามาในประเทศไทย คือช่วงระหว่างปี พ.ศ. 2460-2490 ส้วมชักโครกคงมีเฉพาะตามวังและบ้านเรือนของผู้มีฐานะดีที่จบการศึกษาหรือเคย ใช้ชีวิตในต่างประเทศ ไม่ค่อยแพร่หลายสู่คนทั่วไป ต่อมาเริ่มมีผู้ใช้ส้วมชักโครกมากขึ้นในช่วงที่มีการก่อสร้างบ้านแบบสมัย ใหม่หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 กระทั่งต้นทศวรรษ 2500 โถส้วมชนิดนี้ก็ได้รับความนิยมและมีผู้ใช้เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ
ประเทศ ไทยก็มีการส่งเสริมให้ประชาชนสร้างส้วมราดน้ำหรือส้วมคอห่านใช้ใน บ้านอย่างจริงจังตั้งแต่ปี 2485 เป็นต้นมา และรัฐบาลโดยความร่วมมือจากองค์การยูซ่อมของรัฐบาลสหรัฐอเมริกาในปี 2503โดยเริ่มโครงการพัฒนาการอนามัยท้องถิ่น มีกิจกรรมสำคัญคือการสร้างส้วมและรณรงค์ให้ประชาชนถ่ายอุจจาระในส้วม จนถึงแผนพัฒนาสาธารณสุขฉบับที่ 6 (พ.ศ. 2530-2534) ในปี 2532 กระทรวงสาธารณสุขดำเนินงานให้ปประชาชนในประเทศไทยมีส้วมถูกหลักสุขาภิบาลใน ทุกครัวเรือน ในปีนี้ครอบคลุมจาก ร้อยละ 75 เป็นร้อยละ 90 และจากผลสำรวจในปี พ.ศ. 2542 มีส้วมถูกหลักสุขาภิบาลครอบคลุมครัวเรือนร้อยละ 98.1
ในแผนพัฒนา สาธารณสุขฉบับที่ 7 (พ.ศ. 2534-2539) กรมอนามัยได้ส่งเสริมให้ประชาชนเปลี่ยนรูปแบบจากส้วมซึมมาใช้เป็นระบบส้วม ถังเกรอะ เหตุเพราะทางด้านมาตรฐานและสุขอนามัย กล่าวคือระบบส้วมซึม ถังส้วมสร้างด้วยอิฐ หรือวงของซีเมนต์ (วงของส้วม) เป็นถังส้วมที่น้ำ สามารถซึม เข้า-ออกได้ ถังจะเก็บกักสิ่งปฏิกูลและฝังลงในดิน โดยดินรอบ ๆ ถัง ทำหน้าที่กรองน้ำไหลออกจากหลุมส้วม และสารอินทรีย์ที่ไหลออกมากับของเหลวนี้จะถูกย่อยสลายโดยจุลินทรีย์ในดินไป ตามธรรมชาติ การไหลซึมออกได้ของน้ำนี้ จึงเรียกส้วมชนิดนี้ว่า "ส้วมซึม" ส่วนระบบส้วมถังเกรอะ ประกอบด้วย ถังเก็บกักของเสีย ฝังอยู่ในดิน ทำหน้าที่แยกของแข็งจากของเหลว เกิดการย่อยสลายอินทรีย์สาร วัสดุของถังเกรอะจะทำจากวัสดุที่ป้องกันน้ำซึมเข้าหรือออกจากถังได้ เพื่อเก็บกักน้ำเสียไว้ในถัง และจะเกิดการตกตะกอน รวมทั้งขบวนการย่อยสลายต่าง ๆ ในถัง และปล่อยของเหลวส่วนที่เป็นน้ำใสไปตามท่อสำหรับระบายออกจากถังเกรอะโดยเฉพาะ
การ สำรวจการใช้ส้วมในครัวเรือนในปี พ.ศ. 2553 พบว่าส้วมนั่งยองร้อยละ 86.0 มีการใช้ส้วมนั่งราบหรือส้วมห้อยขาร้อยละ 10.1 และมีบ้านที่ใช้ทั้งส้วมนั่งยองและส้วมห้อยขาร้อยละ 3.1 ของครัวเรือนทั้งหมด ประชากรไทยส่วนใหญ่นิยมใช้ส้วมนั่งยอง ซึ่งอาจเป็นสาเหตุสำคัญอาจก่อให้เกิดอาการข้อเข่าเสื่อมอายุสูงขึ้นได้ กระทรวงสาธารณสุขได้มีการเสนอแผนแม่บทการพัฒนาส้วมไทย ระยะที่ 3 ต่อคณะรัฐมนตรี (ครม.) เพื่อพิจารณาเห็นชอบในหลักการให้ทุกหน่วยงานเปลี่ยนส้วมนั่งยองเป็นส้วมโถ ชักโครกแทน ต่อมาในปี 2556 คณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ที่เสนอขอความเห็นชอบแผนแม่บทพัฒนาส้วมสาธารณะไทยระยะที่ 3 (พ.ศ. 2556 – 2559) โดยตั้งเป้าทุกครัวเรือนหรือประมาณร้อยละ 90 ต้องเปลี่ยนจาก "ส้วมนั่งยอง" มาเป็น "ส้วมนั่งราบ" หรือส้วมชักโครก ภายในปี 2559
อ่านต่อ ตอนที่ 3
Post a Comment